อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ นี้จำเป็นก็ต้องสังเกตดีให้ดีเพราะว่าเป็นโรคที่มีความรุนแรงที่สามารถพัฒนา เป็นโรคมะเร็งและมีอันตรายถึงชีวิตอีกทั้งยังสามารถสังเกตได้ยากในบางคราว
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบสามารถติดได้จากการได้รับเชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกายของผู้ได้รับเชื้อหรือผู้ที่เป็นพาหะซึ่งผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบนี้มักจะเป็นไวรัส B และไวรัส C ส่วนไวรัสตับอักเสบA สามารถติดต่อกันทางอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงการสัมผัสปัสสาวะหรืออุจจาระของผู้ป่วยไวรัสจะอักเสบAไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบสายพันธุ์ไหนก็สามารถป้องกันได้แต่ทั้งนี้ถ้าได้รับเชื้อมาแล้วจะมีอาการอย่างไรบ้างขออธิบายให้สังเกตอาการที่เข้าข่ายโรคไวรัสตับอักเสบดังนี้

สังเกต อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ ได้ด้วยตัวเองแบบเบื่องต้นก่อนไปพบหมอ
- เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบไปว่าจะสายพันธุ์ใดเข้ามาแล้วก็จะทำให้การทำงานของตับผิดปกติโดยจะมีอาการอักเสบที่ตับส่งผลให้ขนาดของตับก็จะใหญ่ขึ้นและกระทบต่อการทำงานของตับทำงานได้ไม่ดีจึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย
- มีอาการแน่นและปวดตรงบริเวณชายโครงขวา ปวดเมื่อยแล้วมีอาการเมื่อยตามข้อตลอดจนคลื่นไส้ท้องเสียอาเจียนปัสสาวะสีเหลืองเข้มและสังเกตได้ ที่ดวงตานั่นก็คืออาการตาเหลืองที่บริเวณที่ตาขาว รวมถึงผิวพรรณก็จะดูซูบซีดเหลือง
- และจะอาการเหล่านี้คืออาการอักเสบเฉียบพลันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสแต่ถ้าเกิดเป็นอาการอักเสบเรื้อรังจะมีอาการดังต่อไปนี้
- ตับอักเสบเรื้อรั เป็นโรคที่แฝงอยู่ในร่างกายมานานซึ่งเกิดขึ้นได้จากไวรัสตับอักเสบDและC ซึ่งในบางคราวหลังจะไม่มีการปรากฏใดๆเลยแต่ในบางครั้งที่มีอาการอักเสบหนักก็จะมีอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหารอาเจียนคลื่นไส้บ่อยๆ
- ซึ่งไวรัสประเภท c และ D นี้จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลงและทำลายเซลล์ภายในตับและพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด มะเร็งตับอ่อน กับ การบริโภคน้ำตาลที่มากเกิน
- และเมื่ออาการหนักขึ้นก็จะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดท้องบวม เท้าบวมซึ่งควรจะไปพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการรักษาให้ตรงจุดโอกาสของการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบให้หายขาด

- ไวรัสตับอักเสบAผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถฟื้นฟูร่างกายได้เองและหายได้ในที่สุดอีกทั้งยังมีภูมิคุ้มกันในการรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ทำให้ไม่สามารถเป็นไวรัสตับอักเสบเอซ้ำด้อีกเพราะร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ufabet
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบBสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เป็นปกติเองได้เช่นกันแต่ถ้าได้รับเชื้อจนถึงขั้นไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันก็จะสามารถแปรสภาพเป็นเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังได้ในอัตรา 5% -10 %และยังคงต้องตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบBอย่างสม่ำเสมอเพราะสามารถพัฒนาเป็นโรคมะเร็งตับได้ในที่สุด
- กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบCจำนวนมากกว่า 80% จะเป็นประเภทผู้ป่วยกลุ่มตับอักเสบเรื้อรังซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด

เคล็ดลับสุขภาพ ถ้าตรวจร่างกายพบว่าเป็นเชื้อไวรัสตับอักเสบประเภทใดก็ตามควรได้รับการรักษาด้วยแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุดซึ่งผู้ที่ เชื้อไวรัสควรพักผ่อนให้เพียงพอและควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพราะว่าเป็นการทำลายเซลล์ตับรวมถึงรับประทานพาราเซตามอลในปริมาณเท่าที่จำเป็นเท่านั้นการรับประทานยาทุกชนิดควรจะปรึกษาแพทย์ที่รักษาโรคไวรัสตับอักเสบก่อนเสมอเพราะดูว่าจะมีผลข้างเคียงต่อการสะสมสารต่างๆในตับหรือไม่หรือสามารถกินได้หรือไม่เพราะอยู่ในการรักษาจึงควรดูแลอย่างระมัดระวัง